ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวบรรยายพิเศษ ในหัวข้อ กฎหมายโลกร้อน: เกณฑ์ใหม่กับโอกาสประเทศไทย ในงาน A Call to Action Go Green 2024 : The Ambition of Thailand จัดโดย "กรุงเทพธุรกิจ" เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2567
ดร.พิรุณ กล่าวว่า กรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมกำลังเร่งดำเนินการออกกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อเป็นหนึ่งในกลไกขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศไปพร้อมกับรับมือด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยขณะนี้ ร่างพระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ… อยู่ในขั้นตอนการประชุมอนุกรรมการกฎหมาย และจะเร่งนำเสนอให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาอีกครั้งในอีก 2 เดือนข้างหน้า
ทั้งนี้ การผลักดันการออกกฎหมายไม่ได้หมายความว่าจะหยิบประเด็นอะไรไปบรรจุไว้ในกฎหมายได้ แต่ได้มีการหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมทั้งกรมสรรพสามิต และหน่วยงานอื่นๆ เพื่อนำประเด็นที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงานต่างๆ มาประกอบให้รอบด้านก่อนนำเสนอ ครม.
สำหรับ "ร่างกฎหมายโลกร้อน" มีทั้งหมด 14 หมวด ได้แก่...
1. การรับรองสิทธิของประชาชน และกำหนดการมีส่วนร่วมของแต่ละภาคส่วน
เพื่อให้ประชาชนได้รับข่าวสารทั้งในมิติของการลดก๊าซเรือนกระจกและความเสี่ยงต่อภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพ โดย "Data Center" ของกรมร่วมมือกับทาง "Climate Center" ของทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน
2. เป้าหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย
สอดคล้องกับพันธกรณีระหว่างประเทศ โดยแต่ละหน่วยงานกำหนดเป้าหมายและแผนให้สอดคล้องบูรณาการเป้าหมายกับภารกิจของตนเอง
3. คณะกรรมการนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งชาติ (กนภ.)
บูรณาการในการทำงานระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้องยกระดับพ.ร.บ. นโยบาย มาตรการ และการดำเนินงาน
4. กองทุนด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
5. แผนแม่บทรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ครอบคลุมทั้งสถานการณ์เป้าหมายแนวทางการเนินงาน ตลอดจนการติดตามผล
6. ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคเอกชน
จัดทำบัญชีก๊าซเรือนกระจกของประเทศและส่งข้อมูลผ่านรายงานแห่งชาติไปยัง UNFCCC เพื่อประโยชน์ในการขับเคลื่อนระบบซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการลดก๊าซเรือนกระจก
7. แผนปฎิบัติการลดก๊าซเรือนกระจก
กำหนดแนวทางการดำเนินงาน ของหน่วยงานรัฐให้สอดคล้องกับเป้าหมายและแผนแม่บท
8. ระบบการซื้อขายสิทธิ์ในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกหรือคาร์บอนเครดิต
เพื่อให้มีมาตรการภาคบังคับในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจและสังคมคาร์บอนต่ำโดยกำหนดดูแลระบบซื้อขายสิทธิแผนการจัดสรรสิทธิ์การควบคุม โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุตสาหกรรมใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลสูง
9. ระบบภาษีคาร์บอน
เก็บภาษีและค่าธรรมเนียมคาร์บอนจากผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงฟอร์ดซิวภาพคมนาคมขนส่งผ้าการใช้ไฟฟ้า และจากผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง ซึ่งดำเนินการโดยกรมสรรพสามิต เพื่อลดการปล่อยและปัญหาการรั่วไหลของก๊าซเรือนกระจก
10. คาร์บอนเครดิต
กลไกการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตการกำกับดูแลภายในและระหว่างประเทศ รวมถึงการขึ้นทะเบียนผู้ประกอบการธุรกิจคาร์บอนเครดิต
11. การปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ไม่ว่าจะในระดับจังหวัดและพื้นที่ชุมชน ทั้งการให้ข้อมูลและก่อให้เกิดองค์ความรู้เพื่อสร้างภูมิคุ้มกัน
12. มาตรการการส่งเสริมการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
การสนับสนุนทางการเงินจากกองทุนแก่หน่วยงานของรัฐองค์กรเอกชนด้านสิ่งแวดล้อมท้องถิ่นและการศึกษา
13. มาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม
14.บทกำหนดโทษป้องกันยับยั้งไม่ให้เกิดการกระทำฝ่าฝืนมาตรการบังคับ
อาทิเช่น การจงใจรายงานข้อมูลเท็จ ฝ่าฝืนระบบซื้อขายสิทธิ และบทบัญญัติเกี่ยวกับคาร์บอนเครดิต
ดร.พิรุณ กล่าวว่า ทิศทางการเดินหน้าสู่การปล่อยก๊าซสุทธิเป็นศูนย์มีการกำหนดไว้อย่างชัดเจนจากที่ประชุม COP28 หากทั้งโลกจะมุ่งสู่เป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จำเป็นต้องลดก๊าซเรือนกระจกให้ได้ 43% ภายในปี 2030 แต่ปัจจุบันการดําเนินการจริงนั้นทำได้ยังไม่ถึง 10%
สำหรับประเทศไทยมีการตั้งเป้าไว้สอดคล้องกัน โดยปัจจุบันกว่า 33.2% ในการขับเคลื่อนมาจากความพยายามและกลไกภายในประเทศเอง และอีก 6.8% คือการเงินระหว่างประเทศ และอื่นๆ อาทิ มาตรการกลไกซื้อขายคาร์บอนตามความตกลงปารีส
อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าในการทํางานของประเทศไทยจะมีความอย่างเข้มข้นมากขึ้นในการสร้างบรรยากาศให้กับทางภาคธุรกิจ หัวใจสําคัญคือสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นเรื่องที่เกิดขึ้นไม่บ่อย จะเกิดบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้นของภัยพิบัติต่างๆ ขณะที่อุณหภูมิของโลกสูงขึ้น ตัวอย่างเช่น ทะเลแอนตาร์กติกที่ปัจจุบันคลื่นความร้อนทำให้น้ำแข็งละลายจำนวนมาก สถิติอุณหภูมิสูงสุดตลอดกาลที่ -9.4°C สูงกว่าค่าเฉลี่ยตามฤดูกาลประมาณ 40°C ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ
โลกที่เคยร้อนขณะนี้ได้กลายเป็น "โลกเดือด" โดยเส้นแบ่งระหว่างโลกสีแดงกับโลกสีเขียวคือการรักษาอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5°C ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยความพยายามและความร่วมมือของทุกภาคส่วนในภาวะที่มันท้าทายมากที่สุดในการเปลี่ยนผ่านของทั้งโลกไปสู่เป้าหมาย
ข่าวล่าสุด