Circular Economy : เปิดแผน EU ปฏิวัติการผลิตใหม่สู่ “เศรษฐกิจหมุนเวียน”
net-zero

Circular Economy : เปิดแผน EU ปฏิวัติการผลิตใหม่สู่ “เศรษฐกิจหมุนเวียน”

    "Circular Economy Action Plan" ของ EU เป็นแผนสำคัญเพื่อพลิกโฉมไปสู่ "เศรษฐกิจหมุนเวียน" ที่ให้ความสำคัญกับการนำวัสดุกลับมาใช้ซ้ำ ยืดอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ และลดปริมาณขยะอย่างเป็นระบบเพื่อมุ่งไปสู่ Net Zero

ภายใต้นโยบายการปฏิรูปสีเขียวและมาตรการทางภาษีของสหภาพยุโรป (European Green Deal) หนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญคือ แผนปฏิบัติการเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจหมุนเวียน  (Circular Economy Action Plan) ในการสร้างกติกาการผลิตใหม่ที่ต้องเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ และหมุนเวียนทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตลอดวงจรชีวิตของผลิตภัณฑ์

เมื่อวันที่ 23 เมษายน 2024 สภายุโรปได้ผ่านข้อบังคับสำคัญ 2 ประเด็นที่จะเป็นตัวเร่งให้เกิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน ได้แก่ Ecodesign for Sustainable Products Regulation และ Right to Repair

Ecodesign for Sustainable Products Regulation

ไฟเขียวข้อบังคับด้านการออกแบบสินค้าที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม จากสมาชิกสหภาพยุโรปด้วยเสียงโหวตเห็นด้วย 455 เสียง ไม่เห็นด้วย 99 เสียง และงดออกเสียง 54 เสียง

ข้อบังคับนี้เป็นการขยายผลไปยังสินค้าในชีวิตประจำวันที่ต้องมีการออกแบบให้คงทน ใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพทั้งวัตถุดิบ พลังงาน และน้ำ เมื่อถึงมือผู้บริโภค ต้องสามารถใช้ซ้ำ ปรับเปลี่ยน ซ่อมแซม ไปจนถึงรีไซเคิลได้

กลุ่มสินค้าชุดแรกที่เข้าข่ายภายใน 9 เดือนหลังจากข้อบังคับมีผลทางกฎหมาย

  • เหล็ก
  • เหล็กกล้า
  • อะลูมิเนียม
  • สิ่งทอ (โดยเฉพาะเสื้อผ้าและรองเท้า)
  • เฟอร์นิเจอร์
  • ยางรถยนต์
  • น้ำยาทำความสะอาด
  • สี
  • น้ำมันหล่อลื่น
  • สารเคมี

ผู้ผลิตต้องจัดทำ Product Passport ในรูปแบบดิจิทัล

ประกอบไปด้วยข้อมูลเกี่ยวกับกระบวนการผลิต ประสิทธิภาพการใช้งาน ไปจนถึงการจัดการผลิตภัณฑ์เมื่อสิ้นสุดอายุขัย โดยผู้บริโภคต้องสามารถติดตามข้อมูลเหล่านี้ได้ผ่านเว็บไซต์สาธารณะ เพื่อให้มีข้อมูลเพียงพอก่อนตัดสินใจซื้อหากมีสินค้าคงค้างที่จำเป็นต้องทำลายทิ้ง ผู้ผลิตจะต้องแจ้งจำนวนพร้อมเหตุผลในการทำลายทุกปี

นอกจากนี้ ยังห้ามไม่ให้ทำลายสินค้าประเภทเสื้อผ้าและรองเท้าภายใน 2 ปี สำหรับผู้ประกอบการขนาดเล็ก และ 6 ปี สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลางถึงใหญ่ แน่นอนว่าจะมีการเพิ่มประเภทสินค้าที่ห้ามทำลายมากขึ้นในอนาคต หากมีการฝ่าฝืน บทลงโทษจะขึ้นอยู่กับกฎหมายของประเทศสมาชิกนั้น ๆ ที่สอดคล้องกับแนวทางของสหภาพยุโรป

ข้อมูลจากคณะกรรมาธิการยุโรประบุว่า แต่ละปี การกำจัดสินค้าที่ยังใช้งานได้ทั่วยุโรป ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า 261 ล้านตัน ใช้ทรัพยากรกว่า 30 ล้านตัน และสร้างขยะกว่า 35 ล้านตัน ผู้บริโภคยังสูญเสียเงินประมาณ 12,000 ล้านยูโรต่อปีในการซื้อสินค้าใหม่แทนที่จะเลือกการซ่อมแซม ข้อบังคับใหม่นี้คาดว่าจะเพิ่มการลงทุนและทำให้เศรษฐกิจของสหภาพยุโรปเติบโตได้อีกประมาณ 4,800 ล้านยูโร

Right to Repair

สิทธิในการซ่อมได้รับความเห็นชอบอย่างล้นหลามจากสภายุโรปด้วยเสียงโหวตเห็นด้วย 584 เสียง ไม่เห็นด้วย 3 เสียง และงดออกเสียง 14 เสียง จะเป็นข้อกฎหมายผูกพันต่อผู้ผลิต ให้ออกแบบสินค้าที่สามารถซ่อมแซมได้ เพื่อยืดอายุการใช้งานของสินค้าให้ได้ยาวนานที่สุด หลังการขายจะต้องมีบริการซ่อมแซมในราคาและระยะเวลาที่เป็นธรรม และในระหว่างการซ่อมแซมต้องมีสินค้าทดแทนให้สามารถยืมใช้งานได้ชั่วคราว

สินค้าที่ยู่ในการรับประกัน เมื่อได้รับการซ่อมแซมแล้ว จะต้องได้รับการยืดอายุการรับประกันไปอีก 1 ปี และต้องมีการสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคเลือกที่จะซ่อมแซมก่อนซื้อใหม่ หลังจากการรับประกันสินค้าหมดอายุลงตามกฎหมาย ผู้ผลิตยังต้องสามารถให้บริการซ่อมแซมสินค้าภายในบ้านทั่วไปที่อยู่ภายใต้ข้อบังคับของสหภาพยุโรปได้ เช่น เครื่องซักผ้า เครื่องดูดฝุ่น และ โทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

กลุ่มสินค้าตามข้อบังคับชุดแรก

  • สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต อุปกรณ์เซิร์ฟเวอร์ จอมอนิเตอร์
  • เครื่องซักผ้า เครื่องอบผ้า เครื่องล้างจาน ตู้เย็น
  • อุปกรณ์ต่อเชื่อม โดยจะรวมเครื่องดูดฝุ่นเข้ามาในอีกไม่ช้า

Right to Repair ยังส่งเสริมระบบนิเวศที่เอื้อต่อการซ่อม

  • ผู้ผลิตต้องจัดสรรชิ้นส่วนอะไหล่และเครื่องมือที่จำเป็นในราคาที่เหมาะสม
  • ห้ามมีข้อกำหนดสัญญาหรือใช้ฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ที่เป็นอุปสรรคต่อการซ่อม
  • ต้องอนุญาตให้ช่างซ่อมทั่วไปสามารถใช้อะไหล่มือสองหรือชิ้นส่วนที่ผลิตจากเครื่องพิมพ์สามมิติได้
  • ผู้ผลิตไม่สามารถปฏิเสธการซ่อม ด้วยเหตุผลความไม่คุ้มค่าทางธุรกิจ หรือ เหตุผลว่าสินค้านั้นได้รับการซ่อมแซมจากที่อื่นมาก่อน

ขั้นตอนหลังจากนี้ คณะมนตรียุโรปจะให้การรับรองอย่างเป็นทางการต่อไป และ 27 ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปจะกำหนดข้อบังคับนี้ให้เป็นกฎหมายระดับประเทศภายใน 24 เดือน ซึ่งทุกประเทศต้องมีนโยบายสนับสนุนการซ่อมแซมอย่างเป็นรูปธรรมอย่างน้อย 1 แคมเปญ เช่น แจกคูปอง หรือ ลดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับบริการซ่อม

Green Claim

ปลายปี 2024 คาดว่า สภายุโรปจะผ่านความเห็นชอบครั้งสุดท้ายในการกำหนด "ฉลากผลิตภัณฑ์สีเขียว" และแบนสินค้าที่สร้างความเข้าใจผิดด้านสิ่งแวดล้อม โดยมีเวลาให้ผู้ผลิตปรับตัวอีก 2 ปี ข้อกำหนดนี้มีเป้าหมายในการปกป้องผู้บริโภคจากการสื่อสารทางการตลาดที่สร้างความเข้าใจผิด หรือ Greenwashing

ปี 2020 พบว่ามีสินค้าทั่วยุโรปกว่า 53% ใช้คำศัพท์ที่สื่อถึงความเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เช่น  environmentally friendly, natural, biodegradable, climate neutral, eco แต่ไม่สามารถตรวจพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ได้

หากข้อบังคับมีผลทางกฎหมาย

  • ผลิตภัณฑ์ที่ใช้คำเหล่านี้ต้องได้รับการรับรองจากหน่วยงานที่น่าเชื่อถือ จึงจะสามารถวางขายได้ในตลาดยุโรป
  • จะมีการแบนผลิตภัณฑ์ที่อ้างว่าเป็นกลางทางคาร์บอนหรือเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ที่ใช้วิธีซื้อคาร์บอนเครดิต (emissions offsetting schemes) เพียงอย่างเดียว

ยังมีข้อกำหนดอีกจำนวนมากที่จะทยอยออกมาภายใต้ EU Green Deal เพื่อให้ทันต่อเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 ซึ่งการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นเพียงการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุ หัวใจสำคัญคือการหมุนเวียนทรัพยากรเดิมในระบบเศรษฐกิจให้ได้มากที่สุด 

ผู้ประกอบการไทยต้องการส่งออกสินค้าไปยังยุโรป จำเป็นต้องเรียนรู้และปฏิบัติตามกฎระเบียบนี้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และในอีกไม่ช้า ประเทศต่าง ๆ รวมถึงประเทศไทยก็จะนำข้อบังคับเหล่านี้มาปรับใช้เช่นกัน หากต้องการศึกษาแนวทางการออกแบบธุรกิจหมุนเวียน สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ CIRCO Hub Thailand

ข่าวล่าสุด

ธุรกิจไทยเตรียมรับมือ EU ผ่านกฎหมายห่วงโซ่อุปทาน เข้มทำธุรกิจยั่งยืน

ธุรกิจไทยเตรียมรับมือ EU ผ่านกฎหมายห่วงโซ่อุปทาน เข้มทำธุรกิจยั่งยืน

Read More...